เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ เม.ย. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ลัทธิ ศาสนาอื่น วันหยุดเขาจะไปทำพิธีของเขา เขาทำพิธีของเขาเพื่อให้เขามีที่พึ่ง ไอ้เราชาวพุทธ เห็นไหม วันโกน วันพระ เขาทำบุญกุศลกัน ทำบุญกุศลกันก็มีที่พึ่ง เด็กถ้ามันไม่มีเพื่อนมันก็เร่ร่อนของมัน เด็กถ้ามันมีเพื่อน มันก็มีเพื่อนเป็นที่ปรึกษา มันมีพ่อมีแม่ มีปู่ ย่า ตา ยาย มีหมู่คณะ มันมีที่อาศัย จิตใจของเราโตขึ้นมา เราอายุมากขึ้นมาเราจะเอาอะไรเป็นที่อาศัย เราก็ต้องมีศาสนาเป็นที่พึ่ง

ศาสนาเป็นที่พึ่งอาศัย ถ้าเราไม่มีศาสนา แล้วศาสนามันคืออะไรล่ะ? ศาสนา คือ ศาสนธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะเอาอะไรไปสัมผัสล่ะ? ถ้าเราจะเอาอะไรสัมผัส เห็นไหม ดูสิเราจะทานอาหารเราต้องมีถ้วยมีจาน เราจะทำสิ่งใดเราต้องมีภาชนะเพื่อบรรจุสิ่งนั้น แม้แต่อากาศเขายังทำออกซิเจนเอาไว้ให้คนได้หายใจ

ศาสนา ศาสนธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกให้มีการเสียสละทาน ศีล ภาวนา การเสียสละทาน ทานเสียสละมาจากไหน เสียสละมาจากหัวใจ หัวใจที่ได้เสียสละ หัวใจที่ได้ฝึกฝน ได้มาฟังเทศน์ฟังธรรม.. ฟังเทศน์ ฟังเทศน์เรื่องอะไร ก็เรื่องความเป็นอยู่ ความดำรงชีวิตของเรา เรื่องความนึกคิด เรื่องหัวใจที่เรามาเร่าร้อน

สิ่งนั้นเพราะมันมีกิจกรรม พอมีกิจกรรม นี่ประเพณีวัฒนธรรม ฉะนั้นพอเวลาทำบุญๆ ทำบุญแล้วได้อะไร? ทุกคนบอกไปทำบุญ พุทธศาสนาบอกให้ทำบุญ ทำบุญแล้วได้อะไร ไม่เห็นมันได้อะไรเลย มีแต่ของหลุดมือจากเราไป อย่างนั้นคิดด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันคิดได้ร้อยแปดพันเก้า แต่คิดด้วยธรรม คิดด้วยธรรมคิดไม่ออกไง เพราะเราว่าเราเสียสละไปแล้วเราได้สิ่งใดมา เราได้สิ่งใดมา เวลาเพื่อน เห็นไหม เรามีเพื่อน มีที่พึ่งอาศัย เรามีที่ปรึกษา เรามีพ่อแม่คอยเลี้ยงดูเรา เรามีผู้ปกครองคอยดูแลประเทศชาติ เราอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเรามันมีสติ มีปัญญา มีศาสนาเป็นที่พึ่ง พอมีที่พึ่งนี่มีศาสนธรรมคอยดูแลหัวใจของเรา มันไม่เร่ร่อนนะ มันไม่ว้าเหว่นะ เวลาเราว้าเหว่ขึ้นมาเราเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เราอยู่ในบ้านในเรือนของเรา นี่ตึกรามบ้านช่องมหาศาลเลย หัวใจมันทุกข์ มันยาก มันว้าเหว่ เห็นไหม หลวงตาบอกว่า “วัตถุสิ่งของมันเป็นเรื่องของร่างกาย เป็นเรื่องของการดำรงชีวิต วัตถุสิ่งของมันสมควรแก่ร่างกาย”

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมควรแก่หัวใจ สมควรแก่หัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรามันมีธรรมในหัวใจขึ้นมา สิ่งใดจะไปกระทบกระเทือนมัน มันก็ไม่เร่าร้อนจนเกินไปนัก เรื่องความกระทบมันมี เพราะว่าธรรมะเก่าแก่ โลกธรรม ๘ เห็นไหม มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทามันมีประจำโลก มันมีอยู่แล้ว คนเราสองคนขึ้นมามันก็นินทากันแล้ว

คำว่านินทา ถ้าเราไม่มีหลักเลย เราก็หวั่นไหวไปกับเขาหมดเลย แต่ถ้าเรามีหลักขึ้นมานะ เขาพูดจริงหรือไม่จริงล่ะ เขาพูดถึงเป็นความจริงของเขา จริงอย่างที่เขาพูดแต่มันไม่จริงของเรา มันไม่จริงเพราะว่ามันไม่เป็นความจริงตามนั้น ถ้ามันเป็นความจริงตามนั้น เราก็พิจารณาว่าถูกหรือผิด

ถ้าถูกหรือผิด.. เวลาเราไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็คอยบอกถึงความบกพร่องของเรา ถ้าความบกพร่องของเรา เราก็แก้ไขของเรา แก้ไขของเรา เพราะถ้าคำพูดนั้นมันถูก นี่เราผิดเราก็แก้ไขของเรา ถ้าคำพูดนั้นมันผิด เห็นไหม เราถูกอยู่ มันไม่มีประโยชน์อะไรกับเราหรอก แต่มันมีของมัน มีของมันคือธรรมะเก่าแก่

การสรรเสริญนินทามันมีของมันอยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่ถ้าหัวใจเรามีหลักขึ้นมา สิ่งนี้มันไม่กระเทือนหัวใจของเรา มันไม่กระเทือนหัวใจของเรา เรายังมองแล้วมันยิ่งยกระดับใจเรามากขึ้นด้วย ยกระดับใจเรามากขึ้นเพราะเหตุใด นี่ไง ดูสิมันไม่เป็นความจริงทั้งนั้นเลย นี่เรามองแล้วเราสังเวช เห็นไหม เรายกระดับใจของเรา

นี่โลกเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะเกลือกกลั้วอยู่กับมันไหม? เราจะพัฒนาหัวใจของเราเป็นธรรมไหม? ถ้าพัฒนาหัวใจเราให้เป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม เราอยู่กับเขา เราอยู่กับเขาเราเป็นผู้นำของเขาได้ เราบอกเขาได้ เราบอกกล่าวเขาได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ดูสิบอกกระต่ายตื่นตูม กระต่ายตื่นตูม พอมันนอนอยู่โคนต้นตาล ลูกตาลตกมานี่มันว่าฟ้าถล่ม! ฟ้าถล่ม! มันตื่นตูมไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าอะไรกระทบกระเทือนเรามา เราจะตื่นตูม เราจะไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งเลย นี่มันวิ่งไปนะ พอมันวิ่งไปมันบอก “ฟ้าถล่ม! ฟ้าถล่ม!” เขาก็วิ่งตามมันไป แขนหัก ขาหักกันไปหมดเลย จนมีราชสีห์นะว่า “อะไร อะไรกันให้หยุดก่อน หยุดก่อน ฟ้าถล่มต้องไปดูกัน ไปดูที่ไหนมันถล่ม” ไปแล้วเห็นต้นตาลมันตกมาโดนก้านตาล เสียงมันดังมาก

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจเราไม่มีหลักเราก็จะตื่นตูมไปกับเขา แต่ถ้าเรามีหลักขึ้นมานี่เราพิจารณาของเราได้ ไม่มีความรักของใคร มีความสะอาดบริสุทธิ์เท่ากับความรักของพ่อแม่หรอก พ่อแม่ไม่ต้องการสิ่งใดจากลูกเลย เห็นไหม ดูสิโลกเวลาเขาหลอกเขาลวงกัน เขาต้องการผลประโยชน์จากเรา เขาต้องการเงิน ต้องการทอง ต้องการทุกๆ สิ่งจากเรา พ่อแม่มีแต่ให้นะ ถ้าเราโตขึ้นมา ทำหน้าที่การงานให้ เรามีวัตถุสิ่งของ มีข้าวของเงินทองไปให้พ่อแม่ พ่อแม่ยังไม่ดีใจเท่ากับเราประสบความสำเร็จในชีวิตเลย

แม้แต่เราประสบความสำเร็จในชีวิต เรามีความสุขของเรานะ เราประสบความสำเร็จ เรายิ้มแย้มแจ่มใส ดูสิเวลาลูกเล่นกันนะ แม่นั่งหัวเราะยิ้มเลย เวลาลูกมันเจ็บช้ำน้ำใจมานะ แม่นั่งร้องไห้เลย แม่มันมีความเจ็บช้ำน้ำใจ เห็นไหม แต่เวลาถ้าลูกมันมีความสุขขึ้นมา แม่จะนั่งหัวเราะในหัวใจเลย มันมีความสุข

นี่ไงความรักของพ่อแม่ เราถึงบอกว่ากตัญญูกตเวที มันต้องเป็นเครื่องหมายของคนดี.. พ่อแม่ เวลาพระเราก็มีพ่อแม่ครูจารย์! พ่อแม่ครูจารย์ เป็นทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งครู ทั้งอาจารย์ เห็นไหม ของเรานี่มีพ่อแม่ เวลาโตแล้วเราต้องไปเรียนหนังสือ พ่อแม่กับอาจารย์แยกจากกัน แต่เราอยู่กับอาจารย์ของเรานะพ่อแม่ครูจารย์ นี่พ่อแม่ครูจารย์เลี้ยงดูนะ ปัจจัยเครื่องอาศัยท่านก็ดูแลให้เรา หัวใจที่ผิดที่ถูกท่านก็ดูแลให้เรา

นี่เรามีพ่อแม่ท่านก็เลี้ยงดูได้แต่ร่างกายของเรา หัวใจของเราเราก็มีการศึกษา เรียบเรียง พัฒนาการหัวใจของเรา แล้วถ้ามีศาสนามาขัดเกลาด้วย เห็นไหม ตอนนี้โลกเขาพยายามหาคนดีกัน เขาไม่หาคนเก่งแล้ว เพราะคนเก่ง เวลามันเอาเปรียบแล้วมันเอาเปรียบน่าดูเลย เขาต้องการหาคนดี

ศาสนามันจะขัดเกลาหัวใจของเรา เห็นไหม ศาสนาขัดเกลาหัวใจที่ไหน? ขัดเกลาที่เสียสละนี่ไง เวลาทำบุญกุศล เราพอใจที่ไหนเราก็ทำบุญที่นั่นใช่ไหม นี่เวลาทำบุญที่นั่นมันขัดเกลาหัวใจ เรารู้จักเสียสละ จิตใจเราจะเป็นสาธารณะ จิตใจที่มันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัวนะมันทำลายตัวเองก่อน เบียดเบียนตนแล้วเบียดเบียนผู้อื่น พอเห็นแก่ตัวก็คิดเล็กคิดน้อย คิดร้อยแปดพันเก้า ถ้าจิตใจมันเป็นสาธารณะนี่มันเปิด มันทำให้หัวใจเราไม่ทุกข์ไม่ร้อน

หัวใจเรามันก็หลักอันเดียวกันนั่นแหละ ถ้าหัวใจที่เห็นแก่ตัวก็หัวใจเรานี่แหละ มันหาแต่สัญญาอารมณ์ หาแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่เพราะอะไร เพราะเห็นแก่ตัว มาเหยียบย่ำหัวใจของมัน แต่ถ้าเวลาจิตใจสาธารณะ ก็ความคิดเหมือนกันนี่แหละ เห็นไหม เพราะธรรมชาติของความรู้สึก ความนึกคิดมันมีของมันเป็นธรรมชาติของมัน มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แต่ความรู้สึกนึกคิดอันนี้มันหาประโยชน์ให้ตัวเองไง เพราะมันไม่เบียดเบียนตนไง

หัวใจที่เป็นสาธารณะมันไม่เบียดเบียนตนนะ ไม่เบียดเบียนตนเพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นแก่ตัว เราไม่ต้องการสิ่งใดมาเบียดเบียนมัน เห็นไหม ถ้าเราคิดเราก็คิดเพื่อประโยชน์ใช่ไหม เพื่อประโยชน์มันคืออะไร? เพื่อประโยชน์มันคืออำนาจวาสนา คือบารมี คนจะมีบารมีมันมีบารมีตรงนี้ไง

เวลาคนมีอำนาจวาสนาขึ้นมา แต่ไม่มีบารมี เขาอยู่ของเขาด้วยความแห้งแล้งนะ แต่คนที่มีบารมี นี่เราเจือจานเขา เราเสียสละให้เขา จิตใจเราเป็นสาธารณะ เรามีบารมี เห็นไหม “กลิ่นของศีลหอมทวนลม” กลิ่นของบารมีของเรา กลิ่นของการชมของเรา นี่เขาพูดต่อๆ กันไป

นี่พูดถึงสังคมที่เขามองเราไปในแง่ดี แต่หัวใจของเรา มันแง่ดีอย่างนั้นมันเป็นเรื่องของโลก มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราหรอก แต่ถ้ามันมีบารมีขึ้นมา จิตใจมันเป็นสาธารณะ จิตใจมันมีบารมีขึ้นมา เราจะนั่งสมาธิ ภาวนาขึ้นมา มันก็มีกำลังของมัน แต่ถ้ามันไม่มีบารมีนะ นั่งสมาธิทุกคนเลย มันเจ็บ มันปวด มันทุกข์ มันร้อน มันไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าจิตใจมันเป็นสาธารณะ เห็นไหม มันไม่เห็นแก่ตัวของมัน

มันมีการค้ำจุนของมัน สัญญาอารมณ์จะมาค้ำจุนใจนี้ให้มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน เวลานั่งสมาธิ ภาวนาเพราะอะไร เพราะเป็นสาธารณะ จิตใจเราเป็นสาธารณะ จิตใจเราไม่เห็นแก่ตัว มันก็นั่งเพื่อประโยชน์ไง นั่งเพื่อความสงบของใจไง

“สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

เราก็จะหาความสุขของเรา สุขทางโลกเราก็หากันมาแล้ว สุขทางโลกทุกคนมีสิทธิ์นะ ถ้าสุขทางโลก โยมมีวาสนากว่าพระอีก เพราะโยมจะไปเที่ยวเตร่ เฮฮาอย่างไรก็ได้ พระไปไม่ได้ พระไปไม่ได้นะ พระต้องหาความสุขจากภายใน เห็นไหม นี่สมบัติของพระ.. ถ้าสมบัติของทางโลก ทุกคนก็หาได้ขนาดนั้นล่ะ สุขกันทางโลกทุกคนก็หาได้เหมือนกันหมด แล้วมันสุขจริงหรือเปล่าล่ะ?

นี่มันชั่วคราว เราให้รางวัลกับชีวิตใช่ไหม เราทำหน้าที่การงานของเรามา เราก็ต้องการพักผ่อน เราก็ต้องมีชีวิต มันก็ต้องความสุข หาความผ่อนคลาย นี่โลกเขา.. แต่เราเป็นชาวพุทธ เห็นไหม โลกเขาเป็นอย่างนั้น ในนวโกวาทนี่ ที่ไหนมีการละเล่น ที่ไหนมีการฟ้อนรำ ที่ไหนมีการอะไร ไปกับเขาหมดเลย แต่ถ้าเราถือศีล ๘ พอถือศีลของเรา สิ่งนั้นเราก็หาได้

โลกเขาหาได้ เราก็หาได้ แต่เราจะหาความดียิ่งกว่านี้ เห็นไหม เวลาความดียิ่งกว่านี้เราก็มาฟังธรรมกัน ฟังธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” เราก็ต้องพิสูจน์ของเรา หาของเราขึ้นมา ถ้าใครมาประพฤติปฏิบัติ แล้วจิตมันเคยเป็นสมาธิ จิตมันเคยรวมลงซักหนหนึ่ง จะติดใจมากนะ แล้วจะพูดทุกคนว่ามันพูดไม่ถูก มันพูดไม่ถูก มันแปลกประหลาด มันพูดไม่ถูก แต่จะฝังใจอันนั้นไป

แล้วสิ่งนี้หาซื้อไม่ได้ในท้องตลาด ช่วยเหลือเจือจานกันก็ไม่ได้ ทุกคนต้องขวนขวาย ทุกคนต้องแสวงหา ทุกคนต้องกระทำของเราขึ้นมาเอง เห็นไหม เวลาเรากินอาหารเราต้องตักใส่ปากเราเอง เราถึงได้กินอาหารของเรา เพราะมันเข้าไปในร่างกายของเรา แต่คนอื่นยังหาให้เราได้ แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สติเราก็ต้องฝึกของเราขึ้นมา สมาธิเราก็ต้องฝึกของเราขึ้นมา ถ้ามันเกิดปัญญามันก็ฝึกของเราขึ้นมา

นี่โลกียธรรม โลกุตตรธรรม.. ทางวิทยาศาสตร์ ทางวิชาการ สิ่งนี้เป็นสมบัติของโลก ดูสิทางทฤษฎีที่ไอน์สไตน์คิดไว้ ใครคิดไว้ เห็นไหม มันส่งเสริมให้ต่อยอดในทางวิทยาศาสตร์ให้มันเจริญรุ่งเรืองขึ้นไป มันเป็นสมบัติของโลก นี่โลกียปัญญา ปัญญาที่เป็นสมบัติของโลก วิทยาศาสตร์ต่างๆ เป็นสมบัติของโลก โลกที่เขาใช้ประโยชน์กับโลก ใช้ประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อความเจริญรุ่งเรือง เพื่อความผ่อนคลาย เพื่อความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต

แต่เรามีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเราเกิดปัญญาขึ้นมานี่โลกุตตรปัญญา โลกุตตรธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. วิทยาศาสตร์ส่วนวิทยาศาสตร์ มันเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นทางทฤษฎี ทางการพิสูจน์ แต่เวลามันเกิดกับเราแล้วนี่มันเกิดกับเรา มันเกิดกับใจ พอเกิดกับใจแล้วนี่มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นการสั่งสอนกัน

พ่อแม่ครูจารย์ พ่อแม่ครูจารย์เรา ท่านมีสิ่งนี้ในหัวใจของท่าน ท่านถึงเอามากล่าว เอามาเปรียบเทียบ เอามาให้เราเห็นหนทาง พอเห็นหนทาง เราทำขึ้นมาแล้วมันก็เป็นหนทางของเรา ที่ว่ามันซื้อขายไม่ได้ ซื้อขายไม่ได้ มรรคของใครก็มรรคของมัน ประโยชน์ของใครก็ประโยชน์ของมัน เห็นไหม เวลาทำบุญกุศล เราทำบุญกุศลของเรา เรามีบุญกุศลเราก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เรามีบาปอกุศล เราก็ไปเกิดนรกอเวจี มันเป็นสมบัติส่วนตน มันเป็นสมบัติของเรา นี่เรื่องบาป เรื่องบุญมันเป็นสมบัติของหัวใจ

ฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธ เห็นไหม เราก็แสวงหาสมบัติของเรา เราฝึกของเรานะ พ่อแม่พาลูกมาเข้าวัดเข้าวา ก็เพื่อฝึกให้เขาได้รับรู้ไว้ ไม่อย่างนั้นนี่วัดคืออะไร พระคืออะไร ปฏิเสธไปหมด พระก็คือคน เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์เขายิ่งคิดนะ พระไม่มี มีแต่คนหัวโล้นห่มผ้าเหลือง

อ้าว.. ก็ใช่จริงๆ คนหัวโล้นห่มผ้าเหลืองจริงๆ แต่เขาได้มีการกระทำ เขาได้ญัตติกรรม เขาบวชมาถูกต้องมาสมมุติ ตามธรรมวินัย เป็นสถานะของโลกเขาที่พระก็คือคนหัวโล้นห่มผ้าเหลืองนี่แหละ เขาก็มีกติกา เขามีกติกาว่าเขาบวชเป็นพระแล้ว เขามีธรรมวินัยของเขาบังคับเขา แต่เราเป็นคน เราบังคับเราด้วยศีล ๕ เห็นไหม

ถ้าคนไม่มีศาสนา ไม่มีศีลเลย นี่คนเหมือนกันแต่ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์อะไรเลย คิดอย่างไรทำอย่างนั้นตามความพอใจของตัว จะพาลอย่างไรทำตามใจได้หมดเลย แต่เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม เราก็มีศีลมีธรรม เราบังคับใจเราแล้ว ยิ่งเป็นพระศีล ๒๒๗ นี่มีพระขึ้นมา เห็นไหม แต่เขาขึ้นมา เป็นประโยชน์ขึ้นมา แล้วถ้าจิตใจเป็นธรรมขึ้นมามันไม่ใช่คนแล้วนะ ไม่ใช่คนหัวโล้นแล้วล่ะถ้าจิตใจเป็นธรรมขึ้นมา

นี่พระอริยเจ้า อริยสงฆ์อยู่ในใจ สมมุติสงฆ์ อริยสงฆ์เกิดขึ้น แล้วพอเป็นอริยสงฆ์ หัวใจเป็นธรรมแล้ว มันพูดธรรมออกมามันถึงเป็นธรรม แล้วเราฟังแล้วมันเข้าถึงหัวใจเราไหมล่ะ? นี่ถ้ามันเป็นธรรมนะมันมีข้อเท็จจริง มันมีความจริงในนั้น มีเนื้อหาสาระ ฟังแล้วสะเทือนใจ แต่ขณะที่ไม่มีนะก็เทศน์ได้ เทศน์โดยอ่านตำรับตำรา

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด เราฟังแล้วสุดยอด สุดยอดนั้นของพระพุทธเจ้าเพราะเทศน์ตามตำรา แต่ในใจของตัวนี่ว่างเปล่า พอว่างเปล่าขึ้นมา มันจะต้องพยายามปฏิบัติขึ้นมา เพราะเราต้องการทรัพย์สมบัติ โลกเขาต้องการสมบัติของโลก สมบัติเป็นข้าวของเงินทอง เราเป็นพระ เป็นชาวพุทธ เราจะหาสมบัติของเรา สมบัติของใจ

ถ้าสมบัติของใจมันมีของมัน ถ้าไม่มีสมบัติจะเอาอะไรมาเปรียบเทียบกันได้ ไม่มีสมบัติจะพูดได้อย่างไร ไม่มีสมบัติจะเอาศีล สมาธิ ปัญญามาอย่างไร แล้วขั้นตอนของมันเป็นอย่างไร เห็นไหม นี่คือสมบัติ สมบัติในหัวใจของเรา สมบัติที่เป็นนามธรรมที่มีคุณค่ากับหัวใจของเรา อริยทรัพย์จากภายใน เราแสวงหาของเรา เราเป็นชาวพุทธ สะสมเพิ่มเติมเพื่อให้มันเจริญงอกงามขึ้นมาในใจของเรา

งอกงามจริงๆ นะ คิดดี ทำดี ใฝ่ดี นี่ความงอกงามของมัน แล้วถ้าเป็นภพเป็นภูมิขึ้นมา มันจะเป็นสมบัติของเราที่ไปกับใจ ภพภูมิมันอยู่ที่จิต เวลาจิตเวียนตายเวียนเกิด สมบัติจริงๆ ของเรา เวียนตายในวัฏฏะนี้ บุญพาให้เกิดดี บาปพาให้เกิดชั่ว เราทำของเราขึ้นมาเพื่อให้เกิดดี แล้วทำดีเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อชีวิตของเรา เอวัง